Monday, April 16, 2012

การแก้ไขปัญหายาเสพติด ...ปลายเหตุที่แก้ไขไม่มีวันจบสิ้น


ยาสพติดที่กำลังสร้างความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้าของประเทศนี้ คือ ยาบ้า ยาบ้าเดิมเรียกยาม้า ต้นเค้าเดิมมันมีจุดมุ่งหมายเป็นยาสำหรับใช้รักษาโรคซึมเศร้า คนเราเอามันมาใช้ในทางที่ผิด Drug abuse เมื่อมันส่งผลให้เกิดอันตรายต่อสังคมมากขึ้น ปี ๒๕๓๙ กระทรวงสาธารณสุขไทยเลยอัพเกรดมันจากวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทเป็นยาเสพติดประเภท ๑ ซะเลย มันทำให้ไปกันใหญ่ ราคายาม้าเม็ดละห้าบาทขยับมาเป็นร้อยบาท และหาซื้อง่ายดายเช่นเดิม ในราวปี ๒๕๔๔ ยาบ้าระบาดหนัก มีคนคลั่งจากการเสพตามสื่อต่างๆ สูงมาก รัฐบาลก็เร่งแก้ไขปัญหาโดยเริ่มพยายามใช้พลังชุมชนเข้าต่อต้าน พอปี ๒๕๔๖ ก็มีการประกาศสงคราม ทำลายวงจรยาในเบื้องต้นและใช้พลังชุมชนพลังแผ่นดินเข้าไปยึดพื้นที่คืนจากยาเสพติด ซึ่งก็รุกได้พื้นที่คืนมาในระดับหนึ่งแล้วก็ยันกันมาเรื่อย พอห้วงหลังปี ๒๕๔๙ ยาบ้าค่อยๆ รุกคืนพื้นที่แพร่ระบาดมากมายขึ้นจวบจนปัจจุบัน ราคายาบ้าสูงชึ้นถึงเม็ดละ ๓๐๐ ถึง ๕๐๐ บาท ในบางพื้นที่ ทำไมเป็นเช่นนั้น
การค้ายาบ้าส่วนมากในบ้านเราเป็นรายย่อย หาลูกค้าแบบชายตรง ผู้ค้ารายย่อยได้ส่วนต่างจากราคายาเพื่อนำมาซื้อยาเสพเองด้วย จึงต้องทวีจำนวนลูกค้าหรือดาวน์ไลน์ให้มาก จึงเกิดผู้เสพหน้าใหม่ๆ อยู่เสมอ ซ้ำร้ายที่เราเฝ้าโฆษณาปลอบใจกันว่ายาบ้าผลินนอกประเทศ เพราะพวกผลิตในประเทศโดนทำลายวงจรไปแล้วเมื่อสงคารมยาเสพติดปี ๒๕๔๖ ยาบ้าผลิตจากชนกลุ่มน้อยประเทศข้างบ้านเรา กลายเป็นเรื่องโกแปด คือ มากกว่าโกหก เพราะสารตั้งต้นดันหายไปจากระบบตั้งมากมายก่ายกอง หมอเหมอเป็นไปกับเขาด้วย ทำให้ผมไม่กล้าพูดสิ่งที่ผมพยายามนำเสนอมาตลอด คือ การลดผู้เสพรายใหม่ เยียวยาผู้เสพรายเก่า ด้วยการลดผลประโยชน์จากยาบ้าลง โดยให้กระทรวงสาธารณสุขถอนยาบ้าจากยาเสพติดประเภท ๑ กลับไปเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทเช่นเดิม ให้องค์การเภสัชกรรมผลิตออกมาทุ่มตลาดมากๆ ราคาเม็ดละ ๕ บาท เพื่อลดขนาดของผลประโยชน์ต่อหน่วยของมันลง ใครเคยเสพให้ไปเสพกับแพทย์ เสพในสถานพยาบาล ซึ่งแพทย์จะค่อยๆ ถอนพิษลดขนาดยาที่ต้องเสพลงจนสู่ภาวะปกติ  ส่วนคนจะเข้าสู่วงจรการค้าก็ต้องคิดหนัก เพราะแม้เป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท แต่มีหรือขายโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ต้องติดคุกอยู่ดี กำไรก็น้อย เพราะหลวงขายถูกกว่า มีไม่อั้นในสถานพยาบาลอีกด้วย ขายไปก็ไม่รวยซวยติดคุกอีก แค่นี้ก็ไร้แรงจูงใจที่จะขาย ไม่ต้องฆ่ากัน ไม่ต้องติดคุ เสริมด้วยกระบวนการเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวและชุมชน ก็จะลดขนาดความรุนแรงของการแพร่ระบาดได้ แต่ผมพูดไม่ออกแล้ว เพราะคนในวงการหมอที่คาดหวังว่าเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม ไม่กอบโกยเพราะรวยอยู่แล้วจากการประกอบวิชาชีพ มาทำให้อึ้ง ทึ่ง และเสียวแสยงแทงใจ ที่เคยจะรณรงค์เสนอแนวคิดก็มอดไหม้ เฮ้อ กรรม
ไว้คิดออกจะบอกให้ฟัง ตอนนี้อยากร้องไห้